ล้านใจร่วมสดุดี เต็มราชดำเนินรัฐชี้สัญญาณดีแดงรอเพ็ญสั่ง!

 

 

 

ประชาชนทุกหมู่เหล่าหลายแสนร่วมงาน  60  ปีบรมราชาภิเษก  รัฐบาลเชื่อเป็นจุดเริ่มต้นที่ดี  เพราะสถาบันพระมหากษัตริย์เป็นศูนย์รวมใจของคนไทยทั้งแผ่นดิน  เสื้อแดงไม่สนใจยันเดินหน้าชุมนุม  หึ่ง!  แยกวงเคลื่อนไหว  "ณัฐวุฒิ"  ไม่สนใจเงื่อนไขประกันตัวห้ามปลุกปั่น  ผีเจาะปาก!  ระบุรอเวลา  "เจ๊เพ็ญ"  หนีบปืนบงการสู้กับรัฐ  เผยโทร.คุยกันตลอด  จะกลับมาเมื่อถึงเวลา

     ที่ตึกบัญชาการ  1  ทำเนียบรัฐบาล  นายสุเทพ  เทือกสุบรรณ  รองนายกรัฐมนตรี  กล่าวภายหลังการตรวจความเรียบร้อยของการจัดงานวันฉัตรมงคล  และเฉลิมพระเกียรติ  พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว  เนื่องในโอกาสเข้าสู่ปีที่  60  แห่งการบรมราชาภิเษก  ที่ถนนราชดำเนิน  ว่า  ทุกอย่างน่าจะเป็นไปด้วยความเรียบร้อย  ไม่มีอะไรน่าเป็นห่วง  เพราะประชาชนมาร่วมแสดงความสามัคคีต่อสถาบันพระมหากษัตริย์  ทั้งนี้  ในส่วนของการรักษาความปลอดภัย   มีทั้งเจ้าหน้าที่ตำรวจและทหารดูแลความปลอดภัยอยู่  และตนคิดว่าในวันที่เป็นมงคลคงไม่มีใครคิดทำอะไรไม่ดีไม่งาม

     ส่วนที่มีข่าวว่ากระทรวงมหาดไทยใช้เงินจ้างประชาชนมาร่วมงานนั้น   ขอให้คิดอะไรในเรื่องดีๆ   ที่เป็นมงคลบ้าง  เพราะเขาชักชวนกันมา  คิดว่าไม่มีกลุ่มใดกลุ่มหนึ่งแฝงตัวมา  ดูจากการที่ประชาชนมาจากหลายจังหวัดคิดว่าไม่มีแน่นอน

     เมื่อถามว่า  ทำไมนายอภิสิทธิ์  เวชชาชีวะ  นายกรัฐมนตรี  ถึงเปลี่ยนกำหนดการจากเดิมจะต้องไปเปิดงานที่ลานพระบรมรูปทรงม้า   แต่กลับมางานสโมสรสันนิบาตที่ทำเนียบรัฐบาลแทน  นายสุเทพกล่าวว่า  งานนี้เป็นการจัดงานงานเดียวกัน  คืองานสโมสรสันนิบาตและเฉลิมพระเกียรติพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว  ในโอกาสเข้าสู่ปีที่  60  แห่งการบรมราชาภิเษก

     "ตอนแรกฝ่ายจัดงานคิดว่าจะทำงานสองครั้งตามที่เราปฏิบัติมาทุกปี   นายกฯ   จะต้องเป็นเจ้าภาพที่นี่ก่อน  มีทูตานุทูตและใครต่อใครมา  จากนั้นจะออกไปที่เวทีใหญ่  แต่พอมาดูสถานการณ์จริงอย่างที่เห็นคือออกไปไม่ได้และไปไม่ทัน  เพราะจะลำบากในการเดินทาง  เพราะผมออกไปเมื่อกี๊ยังติดอุตลุดเลย"

     ซักว่า   ไม่ได้เกี่ยวข้องกับการข่าวของฝ่ายความมั่นคงเรื่องข่าวการลอบทำร้ายผู้นำประเทศ  รองนายกฯ  ยืนยันว่า  ไม่มี  

     ถามว่า   รัฐบาลจะขยายผลเรื่องความปรองดองจากการจัดงานนี้อย่างไร  นายสุเทพตอบว่า   เราทุกคนคนไทยถือองค์พระมหากษัตริย์เป็นศูนย์รวมของจิตใจอยู่แล้ว  ปีนี้เราคงมีกิจกรรมหลายอย่างที่จะทำถวายพระองค์ท่าน  และเป็นความดีงามที่ควรเกิดขึ้นในบ้านเมือง

     "ผมเห็นกิจกรรมเรียบง่ายไม่ทำให้เกิดความยุ่งยาก  และคนก็ตื่นตัว  บ้านช่องก็ติดธงชาติ   ผมก็อยากให้เครือข่ายนี้เผยแพร่ความคิดนี้ต่อไป  เพราะบ้านเมืองเรามีความเห็นที่หลากหลายได้   แตกต่างกันได้  แต่น่าจะมีวิธีการที่เคยปฏิบัติมาเป็นประเพณีให้อยู่ในกรอบกฎเกณฑ์กติกา   ไม่ทำให้บ้านเมืองและภาพพจน์ประเทศเสียหาย  อย่างไรก็ตาม  การลดความขัดแย้งจะเกิดขึ้นได้ถ้าประชาชนส่วนใหญ่ตื่นตัวและมีความรู้สึกอย่างนี้  เขาก็จะได้พูดจากันและได้ขอร้องกันว่าให้ใช้แนวทางที่ไม่ทำร้ายบ้านเมืองดีกว่า"

     เมื่อถามว่า  ประเมินการชุมนุมของคนเสื้อแดงในวันที่  10  พฤษภาคมนี้อย่างไร  นายสุเทพกล่าวว่า  ยังไม่ได้ประเมิน


"ชวรัตน์" โต้ขนคนหัว 200

     ด้านนายชวรัตน์   ชาญวีรกูล  รมว.มหาดไทย  ไม่เชื่อว่าอาจมีประชาชนบางส่วนเข้าร่วมชุมนุมกับกลุ่มเสื้อแดงที่จะชุมนุมเรียกร้องทวงคืนสถานีโทรทัศน์ดีสเตชั่น  สนามเสือป่า  ลานพระบรมรูปทรงม้า  ในวันที่  6  พฤษภาคม  หลังร่วมงานเฉลิมพระเกียรติฯ  วันฉัตรมงคล  เพราะประชาชนที่มา  มาร่วมงานเฉลิมพระกียรติฯ  เนื่องในวันฉัตรมงคล  เพื่อแสดงความจงรักภักดีต่อพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว  ซึ่งผู้ว่าราชการจังหวัดทั่วประเทศก็ดูแลสถานการณ์ดีอยู่แล้ว

     ผู้สื่อข่าวถามว่า  นายปรีชา  เร่งสมบูรณ์สุข  ส.ส.เลย  พรรคเพื่อไทย  อดีต  รมช.มหาดไทย  ออกมาระบุว่ากระทรวงมหาดไทยได้จ่ายเงินให้คนมาร่วมงานหัวละ  200  บาท  รมว.มหาดไทยปฏิเสธว่า   ไม่เป็นความจริง  เพราะคนที่มาล้วนแต่อาสาสมัครเข้ามา  และกระทรวงมหาดไทยก็ไม่มีงบไปจ้างมากถึงขนาดนั้น

     สำหรับการชุมนุมใหญ่ของกลุ่มคนเสื้อแดงในวันที่    10  พฤษภาคม  ที่วัดไผ่เขียว  ดอนเมืองนั้น   นายชวรัตน์กล่าวว่า  เป็นสิทธิการชุมนุมตามระบอบประชาธิปไตย  ซึ่งก็ชุมนุมมาหลายครั้งแล้ว   ก็ไม่มีปัญหาอะไร  เท่าที่ทราบจะมีการปราศรัยและมีคอนเสิร์ต  ซึ่งเป็นเรื่องที่ดี  ทั้งนี้จากการฟังแกนนำ  ไม่ต้องดูแลอะไรเป็นพิเศษ

     กรณีที่นายจตุพร   พรหมพันธุ์  ส.ส.สัดส่วน  พรรคเพื่อไทย  แกนนำ  นปช.  ออกมาระบุว่า  รมว.มหาดไทยเป็นผู้จัดฉากเหตุการณ์ความรุนแรงที่กระทรวงในวันที่  12  เมษายนที่ผ่านมานั้น   นายชวรัตน์ไม่เชื่อว่ามีการสร้างสถานการณ์  เพราะถ้านายกรัฐมนตรีไม่ได้นั่งรถกันกระสุน  สื่อมวลชนไม่เห็นหรือว่ามีคนเอาเหล็กกระทุ้งเข้าไปในตัวรถ  อีกทั้งนายนิพนธ์  พร้อมพันธุ์  เลขาธิการนายกรัฐมนตรีก็เกือบตาย

     นายถาวร   เสนเนียม  รมช.มหาดไทย  กล่าวว่า  รัฐยังยืนยันใช้ความอดทนและการเจรจาทำความเข้าใจเป็นหลัก  แต่หากเกิดความรุนแรงเราก็ใช้กฎหมาย  การปลุกปั่นสร้างกระแสมีแบบฟอร์มเหมือนกัน  ทำให้ฮึกเหิมได้มากกว่า   แต่ก็ไม่น่ากลัวเพราะเราใช้กฎหมายตามหลักสากล   แม้จะอ่อนกว่าในต่างประเทศ  บทเรียนของรัฐบาลมีแล้วในอาเซียนซัมมิต  เพราะเป็นความกังวลของคนไทยทุกส่วนที่ไม่อยากให้เกิดซ้ำรอยขึ้นอีก 

     นายสาทิตย์  วงศ์หนองเตย  รัฐมนตรีประจำนายกรัฐมนตรี  ให้สัมภาษณ์ว่า  เรามีความเชื่อมั่นกันว่าสถาบันพระมหากษัตริย์เป็นศูนย์รวมใจของคนไทยทั้งแผ่นดินตลอดระยะเวลาอันยาวนาน  การได้มีกิจกรรมที่รวมใจคนไทยก็น่าจะให้ทุกคนมีความรู้สึกว่าเรากำลังทำบางอย่างเพื่อประเทศของเรา   เพื่อสถาบันสูงสุดอันเป็นที่เคารพยิ่งของเรา  ก็น่าที่จะเป็นจุดเริ่มต้นที่ดีอีกครั้ง  เพื่อทำให้ทุกคนได้หันกลับมาปรองดองกัน   หรือคิดถึงจุดร่วม  สงวนจุดต่างทางความคิดต่างๆ  เอาไว้ก่อน

     "พลังที่เรียกว่าพลังของคนไทยส่วนใหญ่ต้องการความสงบ    ต้องการความเรียบร้อยของประเทศ   คิดว่ากิจกรรมพวกนี้จะช่วย  คงไม่เป็นเพียงการจุดพลุ  เพราะจะมีกิจกรรมต่อเนื่อง  กิจกรรมที่เกิดขึ้นจะเป็นสิ่งที่ทำให้คิดได้ในแนวทางเดียวกัน  ก็เป็นหน้าที่รัฐบาลจะต้องเดินต่อ  จะมีอีกหลายกิจกรรม"

     ซักว่า   ขณะที่กิจกรรมสมานฉันท์ปรองดองกำลังเดินหน้า  แต่ยังมีบางกลุ่มเดินหน้าชุมนุมทางการเมืองต่อเนื่องอีกหลังจากนี้  นายสาทิตย์กล่าวว่า  จริงๆ  นายกฯ  พยายามดึงทุกอย่างเข้าเวทีรัฐสภา  การตั้งคณะกรรมการทั้ง  2  ชุดก็มีส่วนช่วย  ทั้งเรื่องการสมานฉันท์และเรื่องรัฐธรรมนูญ  ส่วนการไปเคลื่อนไหวภายนอก  คิดว่าในสังคมประชาธิปไตยสามารถทำได้  แต่จากประสบการณ์ในช่วงสงกรานต์ที่ผ่านมา  คงทำให้คิดกันได้ว่าความรุนแรงเป็นสิ่งสร้างความเสียหาย  ดังนั้นถ้ายังมีการชุมนุมเราเชื่อว่าถ้าทำในกรอบสันติวิธีก็ทำได้  รัฐบาลเองก็ต้องยอมรับอีกด้วย  แต่ไม่คิดว่าแกนนำจะเลือกวิธีการรุนแรงและสร้างความเสียหายเช่นนั้นอีก  เพราะประสบการณ์ช่วงสงกรานต์ทำให้คนไทยส่วนใหญ่ยังมีความวิตกกังวลเรื่องนี้อยู่


ปชช.เรือนแสนร่วมเฉลิมพระเกียรติฯ

     ผู้สื่อข่าวรายงานว่า  งานวันฉัตรมงคล  และเฉลิมพระเกียรติพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว  เนื่องในโอกาสเข้าสู่ปีที่   60   แห่งการบรมราชาภิเษก  ที่จัดขึ้นตั้งแต่ถนนราชดำเนินในไปถึงถนนราชดำเนินนอกนั้น   มีประชาชนหลายแสนคนเดินทางมาจากทั่วประเทศเข้าร่วมงาน  มีการจัดเวทีการแสดงมหรสพของภาครัฐและเอกชนถึง   9   เวที  โดยงานเริ่มตั้งแต่  5  โมงเย็นไปจนถึงเที่ยงคืน   และในช่วงค่ำ  นายอภิสิทธิ์เป็นประธานจัดงานสโมสรสันนิบาตที่ทำเนียบรัฐบาล   มีนักการเมือง  ข้าราชการ  เอกอัครราชทูต  เข้าร่วมอย่างคับคั่ง

     ที่พรรคประชาธิปัตย์  นายเทพไท  เสนพงศ์  โฆษกส่วนตัวหัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์  แถลงว่า   กรณีที่กลุ่ม  นปช.หรือกลุ่มคนเสื้อแดงได้ประกาศชุมนุมวันที่  10  พฤษภาคมนี้  โดยอ้างว่าเป็นการชุมนุมรายการตามล่าหาความจริง   ซึ่งเป็นการเคลื่อนไหวของคณะ  3  เกลอกับ   1   เกย์  ซึ่งตอนนี้  3  เกลอได้เงียบไป  โดยเงื่อนไขการประกันตัวของศาล  ส่วน  1   เกย์ได้หนีไปเหลืออีก  1  กลม  ที่วันนี้ได้ใช้เอกสิทธิ์ความเป็น  ส.ส.เคลื่อนไหวแถลงข่าวเป็นรายวันอยู่โดยกล่าวหารัฐบาลว่าสร้างละครลวงโลกกรณีเหตุการณ์  13  เมษายน  โดยกล่าวหาว่านายกรัฐมนตรีประกาศ    พ.ร.ก.ฉุกเฉิน   และจัดฉากการทุบตีรถของนายอภิสิทธิ์   เวชชาชีวะ  นายกรัฐมนตรีที่กระทรวงมหาดไทย  ซึ่งตนคิดว่ากรณีนี้มีข้อมูลชัดเจนว่านายกฯ   อยู่ในรถประจำตำแหน่งจริงๆ   แต่ไม่เข้าใจว่าคนเหล่านี้พยายามบิดเบือนเรื่องนี้ไปทำไม  การใช้ฝ่ามือปิดฟ้าตนคิดว่าปิดอย่างไรก็ไม่มิด

     โฆษกส่วนตัวหัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์กล่าวว่า   กลุ่มคนเสื้อแดงน่าจะยอมรับความจริงว่าอะไรเกิดขึ้นที่กระทรวงมหาไทย  แม้กระทั่งการพูดถึงการรุมทำร้ายนายนิพนธ์  พร้อมพันธุ์  เลขาธิการนายกฯ   ว่าเป็นการช่วยเหลือเอาชีวิตนายนิพนธ์ต่างหาก  ตนคิดว่ากรณีของนายนิพนธ์นั้น   ปรากฏชัดทั้งภาพข่าวของสื่อทั้งในและต่างประเทศ  ตนไม่เข้าใจว่าการที่คนเสื้อแดงเอาด้ามธงกระทุ้งรถนายนิพนธ์  ก็เพื่อต้องการช่วยนายนิพนธ์ให้คลานออกมาอย่างนั้นหรือ  สิ่งที่นายนิพนธ์รอดออกมาได้  ไม่ได้เป็นการช่วยเหลือของคนเสื้อแดง  ซึ่งแกนนำคนเสื้อแดงก็น่าจะรู้อยู่แก่ใจว่านายนิพนธ์รอดชีวิตมาได้เพราะอะไร  เพียงแต่เรื่องนี้ไม่สมควรออกมาชี้แจงต่อสาธารณชน  แต่ความจริงทั้งหมดเป็นที่รับรู้ของสังคมว่านายนิพนธ์รอดชีวิตได้เพราะอะไรกันแน่

     "ผมไม่อยากให้คนเหล่านี้พยายามสร้างละครลวงโลก  เหมือนกับที่กล่าวหารัฐบาล  เพราะรัฐบาลไม่จำเป็นต้องสร้างละคร  ทุกอย่างเป็นความจริงทั้งหมด   เหตุการณ์วันที่  13  เมษายน   มีการถ่ายทอดทีวีทุกช่อง  ซึ่งไม่ต่างจากเรียลลิตี้โชว์ที่ถ่ายทอดพฤติกรรมของคนเสื้อแดงตลอดเวลา  ดังนั้นคิดว่าสังคมน่าจะวินิจฉัยได้ว่าสิ่งที่คนเสื้อแดงกล่าวหาเป็นความจริงหรือไม่"

     ส่วนกรณีที่พรรคเพื่อไทยประกาศจะฟ้องร้องนายกฯ  และ  ครม.  โดยให้  ร.ต.อ.เฉลิม   อยู่บำรุง  ประธาน  ส.ส.พรรคเพื่อไทย  ยกร่างคำร้องทั้งภาษาไทยและภาษาอังกฤษนั้น  นายเทพไทกล่าวว่า  รัฐบาลยินดีอย่างยิ่งถ้าหากสมาชิกพรรคเพื่อไทยยังมีข้อสงสัย  และจะใช้ช่องทางใดก็ได้เพื่อพิสูจน์ความจริง  แต่การที่จะยื่นฟ้องต่อคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ  (ป.ช.ช.)  และคณะกรรมการสิทธิมนุษยชน  รวมทั้งองค์การสหประชาชาติ


ซัดเพื่อไทยผูกใจเจ็บ

     นพ.วรงค์  เดชกิจวิกรม  ส.ส.พิษณุโลก  ในฐานะรองโฆษกพรรคประชาธิปัตย์  กล่าวถึงกรณีที่พรรคเพื่อไทยเตรียมยื่นหลักฐานคลิปวิดีโอต่อคณะกรรมการการเลือกตั้ง  (กกต.)  กรณีที่นายอภิสิทธิ์   เวชชาชีวะ  นายกรัฐมนตรี  จัดตั้งรัฐบาลไม่เป็นไปตามรัฐธรรมนูญ  มาตรา  68  ด้วยการชักนำบุคคลที่ถูกตัดสิทธิ์ทางการเมือง  เช่น  นายเนวิน  ชิดชอบ  และนายสุวัจน์  ลิปตพัลลภ  สมาชิกบ้านเลขที่  111  มาร่วมจัดตั้งรัฐบาล  ซึ่งขัดกับรัฐธรรมนูญ  มาตรา  94  โดยมีโทษถึงขั้นยุบพรรคนั้น  ว่าพรรคเพื่อไทยกำลังผูกใจเจ็บ  ทำตัวเป็นฝ่ายเคียดแค้น  ตั้งป้อมกับรัฐบาลทุกประเด็น  ซึ่งพรรคไม่ห่วงประเด็นดังกล่าว  เพราะคิดว่าการจัดตั้งรัฐบาลของพรรคประชาธิปัตย์ถูกต้องตามกฎหมาย  ไม่เช่นนั้นคงอยู่ไม่ได้ถึง  6  เดือน  ดังนั้นขอเรียกร้องให้พรรคเพื่อไทยกลับไปตั้งสติให้ดี   เพื่อพิจารณาว่าประเด็นสำคัญของบ้านเมืองขณะนี้คืออะไร  อย่างไรก็ตาม  พรรคประชาธิปัตย์ยินดีให้การตรวจสอบทุกประเด็น

     ขณะที่นายพร้อมพงศ์  นพฤทธิ์  โฆษกพรรคเพื่อไทย  กล่าวถึงการจัดกิจกรรมของเครือข่ายหยุดทำร้ายประเทศไทยว่า   พรรคเพื่อไทยมองว่าเป็นสิ่งที่ดี  เพราะวันนี้ระบอบประชาธิปไตยของบ้านเมืองกำลังถอยหลัง  แต่การรณรงค์นั้นอย่าทำเหมือนไฟไหม้ฟาง  ต้องทำอย่างต่อเนื่อง  ดังนั้นนายอภิสิทธิ์ต้องแสดงความจริงใจในการแก้ปัญหาความขัดแย้ง  โดยใช้การกระทำมากกว่าคำพูด  ทำกฎหมายให้มีมาตรฐานเดียว      

     ความปรองดองสมานฉันท์นั้นจะเกิดขึ้นได้ต้องให้กระบวนการตุลาการภิวัฒน์มีความเป็นกลางอย่างแท้จริง   ทหารต้องกลับเข้ากรมกอง   รวมทั้งผู้ใหญ่ของบ้านเมืองต้องไม่แทรกแซงกระบวนการทางการเมือง เปรียบเหมือนการทำหน้าที่เป็นกรรมการซึ่งจะต้องไม่เชียร์ฝ่ายหนึ่งฝ่ายใด เพราะตั้งแต่ปี  2548  เป็นต้นมา  ปัญหาล้วนเกิดจากกรรมการไม่ใช่แค่เชียร์ แต่กรรมการลงมาเล่นเองกับการเมือง   ทำให้เกิดความแตกแยก  ดังนั้น  หากต้องการให้เกิดความปรองดองขึ้น  คนกลุ่มนี้ต้องหยุดทำร้ายประเทศไทย

     นายนพดล  ปัทมะ  อดีตรมว.ต่างประเทศและที่ปรึกษากฎหมายส่วนตัวพ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกฯ   ให้สัมภาษณ์ถึงกรณีที่อัยการสูงสุดทำหนังสือถึงกระทรวงการต่างประเทศ   เพื่อใช้มาตรการทางการทูตประสานไปยังรัฐบาลประเทศนิการากัว  และประเทศสหรัฐอาหรับอามิเรตส์  เพื่อขอให้แจงเบาะแสและตามจับกุมพ.ต.ท.ทักษิณว่า  ตามกฎหมายระหว่างประเทศทางอัยการสูงสุดมีสิทธิ์ดำเนินการ แต่ต้องดูว่าทั้ง  2  ประเทศให้ความร่วมมือแค่ไหน  เนื่องจากไม่มีข้อตกสนธิสัญญาส่งผู้ร้ายข้ามแดน ขั้นตอนจึงไม่เหมือนกับประเทศที่ตกลงกันไว้  ตอนนี้พ.ต.ท.ทักษิณยังไม่ได้ดำเนินใดๆเกี่ยวกับเรื่องนี้ ยังทำธุรกิจอยู่   และไม่ได้ว่าจ้างบริษัทล็อบบี้ยิสต์ตามที่โฆษกพรรคประชาธิปัตย์กล่าวหา  เท่าที่ตรวจสอบไม่มีการจ้างแน่ ถ้ามีหลักฐานขอให้นำมาเปิดเผย

     เขาบอกว่าพ.ต.ท.ทักษิณยังบินไปประเทศต่างๆและเข้า-ออก 2 ประเทศนี้ได้อยู่ จะต้องดูท่าทีรัฐบาล 2 ประเทศนี้เป็นอย่างไร


เสื้อแดงซดเกาเหลา!

     สำหรับการเคลื่อนไหวของแกนนำคนเสื้อแดง   เริ่มเห็นความไม่ลงรอยระหว่างกลุ่มต่างๆเกิดขึ้น และพยายามเคลื่อนไหวเป็นเอกเทศแยกออกจากกัน

     นายสมยศ  พฤกษเกษมสุข  ผู้ประสานงานนปช.บอกว่าการชุมนุมในวันที่  6 พฤษภาคม เบื้องต้นคาดว่าจะมีผู้เข้าร่วมไม่ต่ำกว่า  30  คน หรืออาจมากสุดึง 3 พันคน และที่แกนนำนปช. ได้ประกาศจะชุมนุมที่วัดไผ่เขียว   เขตดอนเมืองนั้น  ตนไม่สามารถเข้าร่วมได้  เนื่องจากมีการเตรียมเคลื่อนไหวที่เชียงใหม่   บริเวณตลาดนัดอำเภอสันป่าตองจ.เชียงใหม่   ขณะนี้ได้รับทราบจากเจ้าของตลาดว่า  มีความอึดอัดใจในการเปิดให้กลุ่มคนเสื้อแดงชุมนุมและขอยกเลิกนั้น  เนื่องจากมีทหารเข้ากดดัน ถือว่ารัฐบาลไม่จริงใจกับกลุ่มผู้ชุมนุม   อีกทั้งเป็นการเล่นใต้ดิน  ทำให้ประชาชนอึดอัดและสุดท้ายประชาชนก็จะจับอาวุธเหมือนกับที่นายจักรภพ  เพ็ญแข  แกนนำนปช.ที่ได้หนีไปต่างประเทศได้พูดเอาไว้ เพราะเราสู้โดยเปิดเผยแล้วถูดกีดกั้น ดังนั้นก็ต้องสู้กันใต้ดิน

     ด้านนายณัฐวุฒิ   ใสเกื้อ  แกนนำนปช.  เปิดเผยว่า  การจัดเวทีชำระข้อเท็จจริงที่วัดไผ่เขียว เขตดอนเมืองนั้น  ก็มีการเตรียมการนำข้อเท็จจริงในเหตุการณ์มาชี้แจงกับประชาชน  ตนไม่ได้กังวลต่แเงื่อนไขของศาล เพราะถือเป็นการชุมนุมโดยสงบ ส่วนการที่นายสมยศ จะเข้าร่วมหรือไม่นั้น ถือว่าเป็นความเห็นส่วนตัว  ไม่เกี่ยวข้องกันเพราะไม่ได้ขึ้นเวทีเหมือนคนอื่น  อีกทั้งนายสมยศก็ไม่มีตารางการขึ้นปราศรัยบนเวที ยืนยันว่า ไม่ได้มีปัญหาอะไรกัน

     เขาบอกว่า  รูปแบบการเคลื่อนไหวต่อไปจะเป็นอย่างไรนั้นก็ต้องรอ นายจักรภพ เดินทางกลับมาอีกครั้ง ตนได้โทรศัพท์คุยกับนายจักรภพอยู่ตลอด ซึ่งยืนยันกับตนว่า จะกลับมาก็ต่อเมื่อถึงเวลา

     ทั้งนี้เป็นที่รับรู้กันว่านายจักรภพได้หนีออกนอกประเทศหลังเหตุจราจลที่คนเสื้อแดงก่อขึ้นเมื่อวันที่ 13 เมษายนที่ผ่าน และเขายังประกาศท้าทายว่าแนวทางการต่อสู้ของเขานั้น จะจับอาวุธขึ้นต่อสู้กับรัฐ

     สำหรับการเคลื่อนไหวของแกนนำคนเสื้อแดงโดยเฉพาะ  นายวีระ มุสิกพงษ์ นายณัฐวุฒิ ใสยเกื้อ และนพ.เหวง   โตจิราการ   ตกเป็นที่จับตามอง   เพราะทั้งสองได้รับการประกันตัวภายใต้เงื่อนไข ห้ามกระทำการปลุกระดม  หรือ กระทำการใดๆ อันก่อความวุ่นวาย ในบ้านเมือง และ ห้ามมิให้กระทำการใดๆ ที่มีผลกระทบ ต่อการสอบสวน ของพนักงานสอบสวน มิฉะนั้น ศาลจะถอดประกัน

     นายเดชอุดม ไกรฤทธิ์ นายกสภาทนายความ กล่าวว่าเป็นเรื่องดุลพินิจของศาลในการที่จะบอกว่าการกระทำใดเป็นการปลุกปั่น  เพราะศาลเป็นผู้กำหนดเงื่อนไขการประกันตัว  อย่างไรก็ตามขณะนี้เหตุการณ์ชุมนุมยังไม่เกิดขึ้นแต่หากเกิดขึ้นแล้ว    พนักงานสอบสวนหรือเจ้าหน้าที่ตำรวจ    ก็ต้องรายงานพฤติกรรมของผู้ที่อยู่ระหว่างการประกันตัวให้ศาลทราบ  หากมีพฤติกรรมส่อไปในทางปลุกปั่นก็ต้องร้องต่อศาลว่ามีพฤติกรรมดังกล่าว ส่วนศาลจะเห็นด้วยหรือไม่เห็นด้วยว่าเป็นการปลุกปั่น ก็เป็นอำนาจของศาล

     "กรรมจะเป็นเครื่องชี้เจตนา   ตามบรรทัดฐานของสังคม   ต้องนำเอาพฤติกรรมนั้นไปอ่านเจตนา"

     นายเดชอุดม   กล่าวถึงการใช้ดุลพินิจในการวินิจฉัยข้อเท็จจริงและวินิจฉัยข้อกฎหมายของศาลว่า เมื่อศาลฟังข้อเท็จจริงได้ความว่า  แกนนำผู้ได้รับการประกันตัวมีพฤติกรรมอย่างไร  อาทิเช่น ชุมนุมวัน เวลาและสถานที่ใด  มีการพูดผ่านเครื่องขยายเสียงหรือไม่และใช้ถ้อยคำอย่างไรแล้ว  ศาลก็จะใช้ดุลพินิจวินิจฉัยข้อกฎหมายว่า  จะสั่งให้ถอนประกันหรือไม่  หรือหากมีความผิดจะลงโทษตามความผิดใด หรือให้รอลงอาญา

 

จับตาปลุกปั่น

     นายสัก  กอแสงเรือง อดีตนายกสภาทนายความ กล่าวว่า ไม่ว่าจะเป็นการเรียกร้องมวลชนให้ออกมาชุมนุม  หรือการกระทำที่ขัดต่อคำสั่งห้ามของศาล  และต้องดูพฤติการณ์ของแกนนำด้วย ว่ามีเจตนาสร้างความปุกปั่นหรือไม่  ทั้งนี้ ควรสอบถามไปยังผู้ที่มีสิทธิในการดำเนินการ อาทิ ตำรวจ อัยการ ว่ามีเงื่อนไขในการห้ามอย่างไรบ้าง  เช่น การพูดเรื่องการเมือง สามารถกระทำได้หรือไม่ ซึ่งต้องดูคำสั่งศาล หากปฏิบัตินอกเหนือคำสั่งศาล ก็อาจจะถูกยกเลิกให้มีการประกันตัวได้

     "ผมไม่สามารถระบุเองได้ว่าอย่างไรเรียกว่าปลุกปั่น   เพราะผมไม่ทราบหมายศาลที่ครบถ้วนทั้งหมด   ส่วนการพูดเรื่องการเมืองของแกนนำเสื้อแดงนั้น   ต้องขึ้นอยู่กับเงื่อนไขในการห้ามด้วย  ทั้งนี้ การชุมนุมโดยสงบ หรือเป็นการชุมนุมโดยปราศจากอาวุธ หากเป็นเช่นนี้ ก็อาจทำได้"นายสัก กล่าว

     นายปณิธาน  วัฒนายากร  รองเลขาธิการนายกรัฐมนตรี รักษาการโฆษกรัฐบาล กล่าวว่าในคำนิยามว่า  ปลุกระดม  หรือสร้างความวุ่นวายนั้น ถือว่าเป็นการสร้างความเข้าใจที่คลาดเคลื่อนต่อข้อเท็จจริง    ถือเป็นปัจจัยในการสร้างการปลุกปั่น   หรือการให้ข้อมูลใดๆที่ไม่ตรงกับข้อเท็จจริงก็ถือว่าเป็นการปลุกปั่น   อย่างไรก็ตามหากการให้ข้อมูลใดๆอันก่อให้เกิดความรู้สึกเกลียดชังในการใช้กำลังล้มล้าง ทำร้าย  หรือคุกคามผู้ใดทำให้เกิดความเกลียดชังถึงขั้นก่อให้เกิดการคุกคามต่อชีวิต  ความเป็นอยู่ หรืออาจถึงขั้นจับอาวุธเข้ามาต่อสู้ก็ถือว่าเป็นการปลุกปั่น  ปลุกระดม และสุดท้ายการเรียกร้องให้ใช้กำลังรุนแรง หรือจับอาวุธต่อสู้ ตรงนี้ชัดเจน ถือว่า เป็นการปลุกระดม ปลุกปั่น

     ด้าน  พล.ต.ต.อำนวย  นิ่มมะโน  รอง  ผบช.น.และรองโฆษก  บช.น. กล่าวว่า ต้องดูว่ามีการกระทำผิดกฎหมายหรือไม่ รวมทั้งพฤติกรรมของแกนนำอยู่ระหว่างการประกันตัว หากเจ้าหน้าที่พบว่ามีการกระทำผิด จะต้องรายงานต่อศาลเพื่อวินิจฉัยว่าจะมีการถอนประกันหรือไม่

     สวนดุสิตโพลล์   สำรวจความเห็นประชาชนทั่วประเทศระหว่างวันที่  3-5  พฤษภาคม  จำนวน 1,560  คน  ถามถึงความรุนแรงที่ประชาชนอยากให้เร่งแก้ไขโดยเร่งด่วน  28.21%  เห็นว่าคือการชุมนุมประท้วงที่มีการปะทะกันจนบาดเจ็บและล้มตาย   23.26%  เห็นว่าคือความแตกแยกของคนในชาติ 21.85%  เห็นว่าคือการปิดถนน  ยึดสถานที่สำคัญเช่นทำเนียบรัฐบาล  สนามบิน  อนุสามวรีย์ชัยสมรภูมิ 13.98% คือการประกาศใช้พ.ร.ก.ฉุกเฉิน และ 12.70% เห็นว่าคือการลอบสังหารบุคคลสำคัญ

     ส่วนคำถามที่ว่า ณ วันนี้ใครเป็นผุ้ทำร้ายประเทศนั้น 31.75% ตอบว่า นักการเมือง 25.40% ระบุว่ากลุ่มผู้ชุมนุม ทั้งเหลืองและแดง 16.67% ระบุว่าเป็นข้าราชการชั้นผู้ใหญ่ 15.08% ตอบว่า มือที่สาม และ 11.10% เชื่อว่าเป็นฝือมือสื่อมวลชนที่เสนอข่าวไม่เหมาะสม ปลถกปั่น ยั่วยุ

     5     วิธีที่ประชาชนคิดว่าจะสามารถหยุดทำร้ายประเทศไทยได้     30.72%     ระบุว่าคือการสร้างความปรองดอง  23.28% ชี้ว่าแกนนำต่างๆต้องยุติการเคลื่อนไหวทุกรูปแบบ 19.15% เห็นว่าคือการวางตัวเป็นกลาง  16.09%  ตอบว่าต้องหยุกสร้างความปั่นป่วน  และ  10.76% เชื่อว่าต้องยึดหลักประชาธิปไตย โดยทุกคนเคารพในสิทธิซึ่งกันและกัน.

ที่มา thaipost.net

 {mosloadposition user26} {mosloadposition user27}
 {mosloadposition user28}